วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เสน่ห์ขนมไทย


เสน่ห์ขนมไทย




            ขนม  เป็นของกินเล่นยามว่าง เป็นอาหารเบา ๆ มีหลากหลายชนิด หลายรสชาติ หลายรูปแบบ  ขนมมีอิทธิพลต่อการกินและชีวิตความเป็นอยู่อย่างมาก  คำว่า  ขนม  มีใช้มาหลายร้อยปียากจะสันนิฐานแน่นอนได้ เช่นเดียวกับไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นอนว่า "ขนมไทย" เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยใดเป็นครั้งแรก แต่ตามประวัติศาสตร์ไทยมีหลักฐานตอนหนึ่งว่า มีการจารึกชื่อขนมในแท่งศิลาจารึก เป็นการจารึกแบบลายแทงสมัยโบราณ ขนมที่ปรากฏคือ   " ไข่กบ นกปล่อย  มะลิลอย   อ้ายตื้อ "  ผู้หลักผู้ใหญ่คนโบราณ ได้อธิบายความหมายของขนมเหล่านี้ไว้ว่า  ไข่กบ หมายถึง เม็ดแมงลักที่แช่น้ำจนโป่งพองดูคล้ายไข่กบ  นกปล่อย หมายถึง ลอดช่องไทย ที่กดผ่านตะแกรงรู หลุดลอดลงมาเป็นตัวคล้ายกับนกปล่อยของเสีย   มะลิลอย  หมายถึง ข้าวตอก ที่เป็นแผ่นแบบสีขาว ดูคล้ายมะลิลอยน้ำ  อ้ายตื้อ หมายถึง ข้าวเหนียวดำนึ่งสุก ขนมทั้งสี่ชนิดนี้ ใช้น้ำกระสายอย่างเดียวกันคือ "น้ำกะทิ" เคี่ยวกับน้ำตาลโตนด  เวลาเสิร์ฟจะเสิร์ฟเป็นถ้วย ๆ แยกกัน 4 ชนิด  ซึ่งเราเรียกการเลี้ยงขนม 4 อย่างนี้ว่า  "ประเพณีกิน 4 ถ้วย"



 ขนมไทย  เป็นขนมที่เกิดจากฝีมือล้วน ๆ  เป็นของหวานที่มักทำและรับประทานกันในครัวเรือน  มีเอกลักษณ์ด้านวัฒนธรรมประจำชาติไทยคือ มีความละเอียดอ่อนประณีตในการเลือกสรรวัตถุดิบ มีวิธีการทำ ที่พิถีพิถัน รสชาติอร่อยหอมหวาน สีสันสวยงาม รูปลักษณ์ชวนรับประทาน  ตลอดจนกรรมวิธีการรับประทานที่ปราณีตบรรจงของขนมแต่ละชนิด ซึ่งยังแตกต่างกันไปตามลักษณะของขนมชนิดนั้น ๆ   ขนมไทยทั่วไปจะมีความหวานนำ หรือมีความหวานจนรู้สึกในลิ้นของผู้รับประทาน การทำขนมไทยเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาและฝึกฝน ต้องใช้ศิลปะ วิทยาศาสตร์ ความอดทน และความเป็นระเบียบ ความพิถีพิถันในการประกอบ

มารู้จักขนมไทยกันดีกว่า

ประเภทของขนมไทย


ประเภทของขนมไทย  :

            ขนมไทย คือ อาหารชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่กับข้าว แต่เป็นอาหารที่รับประทานตามหลังของคาว เช่น ในอาหารมื้อกลางวันมีก๋วยเตี๋ยวไก่เป็นของคาว ผู้รับประทานอาจจะรับประทานทับทิมกรอบเป็นของหวาน เป็นต้น เมื่อบริโภคอาหารมื้อสำคัญ ๆ เช่น มื้อเช้า มื้อกลางวัน มื้อเย็น ควรบริโภคทั้งของคาวและของหวาน สิ่งที่ใช้เป็นของหวานอาจเป็นขนมหรือผลไม้ก็ได้ นอกจากจะรับประทานขนมหวานหลังของคาว เราอาจรับประทานขนมหรือของหวานในเวลาที่มิได้รับประทานอาหารคาว แต่จะรับประทานขนมหรือของหวานเป็นของว่าง ขนมไทยสามารถจัดแบ่งเป็นชนิดต่าง ๆ ได้ตามลักษณะของเครื่องปรุง ลักษณะกรรมวิธีในการทำ และลักษณะการหุงต้ม

1.  ขนมประเภทเชื่อม  :   เป็นการใส่ส่วนผสมลงในน้ำเชื่อมที่กำลังเดือดจนสุก เช่น กล้วยเชื่อม จาวตาลเชื่อม  และขนมเชื่อมที่ทำจากไข่ทั้งหลาย เช่น  ทองหยิบ ทองหยอด  ฝอยทอง  ซึ่งเรามักเรียกว่าขนมเครื่องทอง  ขนมประเภทนี้ เป็นขนมที่ทำจากไข่แดง แต่เดิมตำรับขนมไทยมีวัตถุดิบเพียง 3 อย่าง คือ แป้ง น้ำตาล และมะพร้าว ไม่ค่อยมีการใช้ไข่เป็นส่วนผสม อาจเป็นเพราะไข่มีกลิ่นคาว มักใช้ทำอาหารคาวเป็นกับข้าวมากกว่า  แต่ท้าวทองกีบม้า ต้นเครื่องคนสำคัญในรัชสมัยของพระนารายณ์มหาราช   เป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาทคิดค้นประยุกต์เอาขนมฝรั่งเข้ามาผสมผสานกับเครื่องปรุงขนมไทย   จนทำให้มีรสชาติ และหน้าตาที่แตกต่างมากมาย เป็นที่เลื่องชื่อตราบจนทุกวันนี้

ตัวอย่างขนมเชื่อม : จาวตาลเชื่อม

(จาวตาลเชื่อม)

                  จังหวัดเพชรบุรีได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดที่มีต้นตาลมากที่สุดในประเทศไทย  ต้นตาลเมืองเพชร ให้ผลผลิตน้ำตาลโตนดที่ดีที่สุด จึงมีชื่อเสียงติดปากคนทั่วไปว่า น้ำตาลเพชรบุรีเพราะมีรสหวานหอมอร่อย มีรสชาติกลมกล่อมชวนรับประทาน จนเป็นที่มาของคำว่า หวานเหมือนน้ำตาลเมืองเพชร   "จาวตาลเชื่อม"  เป็นจาวตาล ในระยะที่สาม ซึ่งเนื้อในของจาวตาลจะแข็งซุยคล้ายจาวมะพร้าว นำมาเชื่อมจนน้ำตาลแทรกเข้าไปในเนื้อ  ขนมชนิดนี้ได้รับความนิยมมาก จึงมีราคาสูงกว่าขนมเชื่อมอื่น 

ตัวอย่างขนมเชื่อมที่ทำจากไข่  ขนมฝอยทอง

(ขนมฝอยทอง)
ฝอยทอง เป็นขนมดั้งเดิมของโปรตุเกส ลักษณะเป็นเส้นฝอย ๆ สีทอง ทำจากไข่แดงของไข่เป็ด เคี่ยวในน้ำเดือดและน้ำตาลทราย ชาวโปรตุเกสใช้รับประทานกับขนมปัง กับอาหารมื้อหลักจำพวกเนื้อสัตว์ และใช้รับประทานกับขนมเค้ก  โดยมีกำเนิดจากเมืองอาไวโร่ (โปรตุเกส: Aveiro) เมืองชายฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศโปรตุเกส 


2.  ขนมประเภทต้ม นึ่ง มูน   :  ขนมประเภทต้มจะใช้หม้อหรือกระทะต้มน้ำให้เดือด ใส่ขนมลงไปต้มจนสุกแล้วตักขึ้น เช่น ขนมปลากริมไข่เต่า ขนมประเภทนึ่ง เช่น ขนมสายบัว  ขนมชั้น เป็น การทำขนมให้สุก โดยใช้ไอน้ำ ด้วยการนำขนมที่
ต้องการนึ่ง ใส่ลงในลังถึง ที่มีน้ำเดือด ปิดฝาลังถึงไม่ให้ไอน้ำออก   ส่วนขนมประเภท มูน  เป็นการเอาส่วนเนื้อขนมผสมกับน้ำเชื่อมขณะที่สุกรัอนใหม่ ๆ เพื่อให้ส่วนผสมเข้ากัน ปิดด้วยภาชนะให้ไอร้อนระอุและส่วนของเนื้อขนมดูดซึมน้ำเชื่อมเข้าไว้จนแห้ง เช่น ขนมขี้หนู เป็นต้น


ตัวอย่างขนมประเภทต้ม : ขนมปลากริมไข่เต่า

(ขนมปลากริมไข่เต่า)


            ขนมปลากริมไข่เต่า  เป็นขนมที่แยกเป็นสองหม้อ ปลากริมเป็นชื่อของปลาน้ำจืดมีหัวแหลม  แป้งขนมปลากริมจึงมีรูปร่างเป็นเส้นยาว หัวท้ายเรียว รสชาติของขนมปลากริมออกหวานและหอมน้ำตาลโตนด ตัวสีน้ำตาล มีชื่อเล่นที่ชาวบ้านเรียกว่า ตัวหวาน  ส่วนขนมไข่เต่า เลียนแบบไข่เต่าน้ำจืด ตัวกลม ๆ แต่ปัจจุบันทำตัวแป้งเหมือนกับปลากริม เพียงแต่เป็นตัวขาว รสชาติเค็ม ๆ มัน ๆ ของกะทิ  ชาวบ้านเรียก ตัวเค็ม เมื่อรับประทานจะได้ครบทุกรสชาติ คือ รสกลมกล่อม หวาน มัน หอม และเค็ม


ตัวอย่างขนมประเภทนึ่ง : ขนมชั้น
            ขนมชั้น  เป็นขนมไทยโบราณที่ใช้ในงานพิธีมงคล  โดยมีความเชื่อว่าจะต้องหยอดขนมให้ได้ 9 ชั้น จึงจะเป็น                ศิริมงคลเจริญก้าวหน้าแก่เจ้าภาพ   ขนมชั้นเป็นขนมที่มีความนุ่ม เหนียว หวาน มัน จะมีส่วนผสมของ กะทิ น้ำตาล และแป้ง 3 4 ชนิด แล้วแต่สูตรและความชอบเนื้อขนมในแต่ละแบบ ซึ่งแป้งแต่ละอย่างก็จะมีคุณสมบัติทำให้ขนมมีเนื้อต่างกัน โดย  :

            -   แป้งมัน                  :     จะทำให้เนื้อขนมเนียน นุ่ม เหนียว หนืด ดูใสเป็นมัน

            -   แป้งท้าวยายม่อม   :     จะทำให้เนื้อขนมเนียน เหนียว แข็ง แต่จะใสน้อยกว่าแป้งมัน

            -   แป้งข้าวเจ้า            :     จะทำให้เนื้อขนมแข็ง และอยู่ตัว

            -   แป้งถั่วเขียว            :     จะทำให้ขนมอยู่ตัว ไม่เหนียวมากเกินไป



ตัวอย่างขนมประเภทมูน  :  ขนมขี้หนูหรือขนมทราย
(ขนมขี้หนูหรือขนมทราย)


            ขนมขี้หนู  ทำจากแป้งข้าวเจ้า นวดกับน้ำลอยดอกไม้ที่ให้ความหอม เช่น ดอกมะลิ ดอกกระดังงา เมื่อนวดแป้งกับน้ำจนได้แป้งที่เป็นก้อนแล้ว นำกระชอนหรือแร่งมาร่อนแป้งบนผ้าที่ปูไว้บนลังถึงสำหรับนึ่ง ร่อนแป้งเสร็จก็นำแป้งนั้นไปนึ่งให้สุก  พอแป้งสุกจึงนำแป้งนั้นไปมูนกับน้ำเชื่อมที่ต้องเคี่ยวให้เสร็จเสียก่อน  ด้วยการเอาน้ำเชื่อมเทใส่แป้งร้อน ๆ คนด้วยพายให้แป้งเข้ากับน้ำเชื่อม ปิดฝากะเวลาให้ได้ที่จึงเปิดฝาแล้วใช้พายคนตะล่อมให้ขนมที่มูนไว้ ฟู เบา ถ้าต้องการให้ขนมมีสีสันน่ารับประทาน ก็ใส่สีเล็กน้อยในน้ำเชื่อม เมื่อจะรับประทานให้โรยด้วยมะพร้าวขูด  ขนมที่ดีจะต้องเป็นเหมือนเม็ดทรายละเอียด ร่วนซุย ไม่จับเป็นก้อน หวามเล็กน้อย หอมชื่นใจเมื่อรับประทาน


3.  ขนมประเภททอด  :  เป็นการทำขนมให้สุก ด้วยการนำขนมที่ต้องการจะทอด ใส่ลงในกระทะที่มีน้ำมัน ตั้งไฟร้อน แล้วทอดจนขนมสุกเหลืองตามต้องการ  เช่น ขนมกง ขนมสามเกลอ


ตัวอย่างขนมประเภททอด  :  ขนมกง

(ขนมกง)


            ขนมกง เป็นขนมไทยโบราณ สมัยอยุธยาเรียก ขนมกงเกวียน  เพราะมีรูปร่างเป็นวงกลม ตรงกลางเป็นกากบาทคล้ายล้อเกวียน นิยมใช้ในงานแต่งงาน  มีความหมายให้บ่าวสาวรักกันชั่วนิรันดรดุจกงเกวียนที่หมุนต่อเนื่องไม่จบสิ้น  การทำขนมกงแบบชาวบ้านจะใช้ถั่วเขียวคั่วทั้งเปลือกจนเหลือง ป่นให้ละเอียด นำไปต้มจนเปื่อยแล้วใส่น้ำตาลปี๊บ มะพร้าวขูด กวนในกระทะใบบัวจนเหนียวได้ที่  พักไว้ให้เย็นแล้วจึงปั้นเป็นเส้นกลม   จับปลายชนกันให้เป็นวงกลม แล้วปั้นไส้อีกสองเส้นวางพาดบนวงกลมให้เป็นรูปกากบาท  กดให้ปลายแต่ละมุมขึ้นเป็นปุ่ม  แล้วชุบแป้งนำลงทอดในน้ำมัน  แป้งที่ใช้เป็น     แป้งข้าวเหนียวนวดกับกะทิ  ใส่ไข่ไก่ เกลือ  และน้ำปูนใส  ทางภาคใต้ ของประเทศไทย นำไปประกอบพิธีกรรมในประเพณีสารทเดือนสิบ


ตัวอย่างขนมประเภททอด   :  ขนมสามเกลอ
http://www.oocities.org/thaibesteating/bg_kler.JPG

(ขนมสามเกลอ)


            ขนมสามเกลอ  ถูกจัดเป็นขนมเสี่ยงทายในงานแต่งงาน ส่วนผสมที่ใช้ทำเหมือนกับขนมกง ต่างกันเพียงใส่งาขาวคั่วเพิ่มเติม  ปั้นเป็นลูกกลม ๆ  บีบติดแล้วชุบแป้งทอด ถ้าทอดแล้วติดกันทั้ง 3 ลูก ถือว่าบ่าวสาวจะรักใคร่กลมเกลียวกันดี หากติดกัน 2 ลูก  แสดงว่าจะมีลูกยากหรืออาจไม่มีเลย  และหากหลุดจากกันหมดทั้ง 3 ลูก ทายว่าทั้งคู่จะอยู่กันไม่ยั่งยืนหรือมีชีวิตสมรสที่ไม่มีความสุข  บางทีชุบแป้งทอดถึง 3-4 ครั้งก็ไม่สำเร็จ   ต้องเปลี่ยนคนทำใหม่  เรียกว่า   หาหมอมาแก้



4.  ขนมประเภท ปิ้ง ย่าง :  เป็นการทำให้สุกโดยการวางขนมที่ต้องการปิ้งไว้เหนือไฟ มีตะแกรงรองรับ ไฟไม่ต้องแรงนัก กลับไปกลับมาจนขนมสุก อาหารบางชนิดใช้ใบตองห่อ แล้วปิ้ง จนใบตองที่ห่อเกรียมหรือกรอบ เช่น ขนมจาก ข้าวเหนียวปิ้ง ก่อนที่จะปิ้งใช้ขี้เถ้ากลบไว้ เพื่อให้ไฟร้อนสม่ำเสมอกัน


ตัวอย่างขนมประเภทปิ้ง ย่าง : ขนมจาก
(ขนมจาก)

            ขนมจาก   เป็นขนมพื้นบ้านในย่านจังหวัดสมุทรปราการและบริเวณที่ติดชายฝั่งทะเลอื่นๆ ทำด้วยแป้งข้าวเหนียว ส่วนมากนิยมใช้ข้าวเหนียวดำ มะพร้าวทึนทึกขูดหยาบๆ น้ำตาลมะพร้าว และเกลือเล็กน้อย ที่เรียกว่าขนมจาก เพราะเป็นขนมที่ห่อด้วยใบจากสด ที่ได้จากต้นจาก ซึ่งเป็นพืชในสกุลวงศ์ปาล์ม ขึ้นเป็นกออยู่ตามป่าชายเลนและบริเวณริมน้ำเค็ม ขนมนี้ทำให้สุกด้วยการย่างไฟคล้ายการเผาข้าวหลามแต่ใช้ความร้อนน้อยกว่า

5.   ขนมประเภทกวน  :   ขนมไทยประเภทกวน  โดยมากมีส่วนผสมของของเหลวผสมให้รวมเข้าเป็นเนื้อเดียวกัน     โดยมีเทคนิคในการกวนส่วนผสมให้ไปในทิศทางเดียวกันเพื่อให้ส่วนผสม  ข้น เหนียวเร็ว ยิ่งกวนนาน ขนมยิ่งเหนียว  การกวนขนมที่ใช้แป้ง ควรคนให้ทั่วถึงก้นกระทะ เพื่อไม่ให้ติดก้นกระทะ  จนแป้งเริ่มจับตัวข้น หรือเริ่มสุก   แป้งจะจับตัวเป็นก้อน มีความหนืด ต้องจับพายไม้ในการกวนให้แน่น  การกวนขนมที่ใช้พืชที่นำมากวนมีหลายชนิด ถ้าเป็นพืชเนื้อแน่น เช่น เผือก ถั่วเมล็ดแห้ง ควรนึ่งหรือต้มให้สุกเสียก่อน จึงบดให้ละเอียด แล้วกวนกับน้ำกะทิ ให้เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่เป็นก้อน จึงใส่น้ำตาล กวนให้ทั่วถึงก้นกระทะ ไม่หยุดมือ จนกว่าขนมจะข้นและเหนียว  ลักษณะที่ดีของส่วนผสมขนมไทยประเภทกวน คือ ส่วนผสมจะเป็นก้อน มีความข้นเหนียว เกือบแห้ง ไม่ติดภาชนะ สามารถกดปั้นเป็นรูปร่างได้ โดยฉพาะการกวนผลไม้  เช่น  ขนมลูกชุบ


ตัวอย่างขนมประเภทกวน : ขนมลูกชุบ

(ขนมลูกชุบ)


            ขนมลูกชุบ  เป็นขนมไทยที่ใช้ถั่วทองหรือถั่วเขียวกะเทาะเปลือกแล้วต้ม นำมาบดแล้วกวนกับกะทิจนเนื้อเนียนละเอียดได้ที่ นำมาปั้นเป็นรูปทรงต่าง ๆ  ของ ผัก ผลไม้ เช่น พริก มะเขือม่วง มะยม มังคุด มะม่วง เป็นต้น แล้วทาด้วยสีผสมอาหารให้เป็นสีของผัก และผลไม้นั้น ๆ  สีต้องเนียนเรียบเสมอกัน ทาแล้วสีไม่สะดุด เสียบไม้   นำไปชุบกับวุ้นให้ ขึ้นเงางาม ทิ้งให้แห้ง เสียบก้นขนมด้วยใบแก้วที่นำมาตัดเจียนประดับให้สวยงาม การทำลูกชุบจะต้องใช้ศิลปะในการปั้นให้เหมือนของจริงเพียงแต่ย่อส่วนให้เล็กลง เป็นขนมที่มีรูปลักษณ์ที่สวยงาม มีเสน่ห์ และเป็นที่ประทับใจสำหรับผู้ที่เห็นครั้งแรก โดยเฉพาะชาวต่างชาติ ปัจจุบันนี้หาทานขนมลูกชุบที่อร่อยไม่ได้ง่ายนัก

วิธีทำขนมไทย


ทองหยอด




ส่วนผสม
ไข่ขาว                 1           กิโลกรัม
กะทิข้น ๆ           4           ถ้วยตวง
หอมเจียวโรยหน้า ½       ถ้วยตวง
โรยหน้า
น้ำตาลปีบ     800            กรัม
ถั่วเขียวนึ่งบด 2             ถ้วยตวง
วิธีทำ
            ตีไข่ขาวให้ขึ้น ผสมน้ำตาลปีบให้ละลาย ใส่กะทิกรองด้วยผ้าขาวบาง ผสมถั่วเขียวนึ่งบดที่เตรียมไว้ ขยำให้เข้ากัน
           เทส่วนผสมทั้งหมดใส่หม้อหรือกระทะทอง ตั้งไฟกวนพอข้น ตักใส่ถาด ขนาด 12 x 12 นิ้ว
หรือถาดเล็กสำหรับอบขนมหม้อแกง
            เปิดเตาอบไฟ 200 C. ใส่ขนมเข้าอบ เวลาประมาณ 30 - 40 นาที จนขนมสุกหน้าเหลือง นำออกมาโรยด้วยน้ำมันและหอมที่เจียวไว้

 
สังขยาฟักทอง



เครื่องปรุง + ส่วนผสม
ฟักทอง 1 ลูก (น้ำหนักประมาณ 400 - 600 กรัม)

* ไข่ 4 ฟอง * หัวกะทิ3/4 ถ้วยตวง

* น้ำตาลปิ๊บ 1/4 ถ้วยตวง * แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต๊ะ

* เกลือป่น 1/4 ช้่อนชา * น้ำปูนใส

วิธีทำ

1. นำฟักทองมาตัดออกเป็นสี่เหลี่ยมบริเวณหัวขั้วจากนั้นจึงขวักเมล็ดข้างในออก จนกลวงเป็นช่องภายใน จากนั้นจึงนำไปน้ำปูนใสประมาณ 8 - 10 นาที แล้วจึงนำออกมาสะเด็ดน้ำ (เคล็ดลับ : แช่น้ำปูนใสเพื่อไม่ให้ฟักทองแตกเวลานึ่ง)

2. ระหว่างรอฟักทองที่แช่ในน้ำปูนใส เตรียมทำสังขยาโดยผสมไข่ไก่,หัวกะทิ , แป้งข้าวเจ้า, น้ำตาลปิ๊บ และเกลือ คนจนส่วนผสมเข้ากันดี

3. นำส่วนผสมสังขยาที่ทำในขั้นตอนที่สองเทลงในฟักทอง จากนั้นจึงนำไปนึ่งประมาณ20 - 25 นาที กรณีเสริฟเป็นลูกฟักทอง ก็นำฝาที่ตัดออกไปนึ่งด้วย ถ้าแบ่งเสริฟก็หั่นเป็นชิ้นๆ เพื่อความสวยงามและน่ารับประทาน เวลาหั่นควรระวังไม่ให้สังขยาเละ

 
ทับทิมกรอบ



เครื่องปรุง + ส่วนผสม

* แห้ว 800 กรัม (ล้าง, ปอกเปลือกและหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า)



* กะทิ 2 1/2 ถ้วยตวง * เกลือป่น 2 ช้อนชา

* น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง * น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง

* น้ำหวานแดง 1 1/2 ถ้วยตวง * แป้งมัน 500 กรัม

 * ขนุนฉีกเป็นฝอย, เมล็ดข้าวโพดสุก(สำหรับโรยหน้า จะมีหรือไม่มีก็ได้)
วิธีทำ
1. นำแห้วที่หั่นเสร็จแล้วไปแช่ในน้ำแดงประมาณ 15 นาที จากนั้นจึงนำออกมาสะเด็ดน้ำ
2. นำแห้วที่แช่ในน้ำแดงไปคลุกในแป้งมันให้ติดผิว ค่อยๆคลุกให้ติดทั่วผิวแห้วทั้งหมด จากนั้น จึงนำไปต้มในน้ำเดือดจนสุกจึงนำออกมาแช่น้ำเย็น (วิธีสังเกตุ : แห้วสุกแล้วจะลอยขึ้นเหนือน้ำ)
3. เตรียมทำน้ำเชื่อม โดยผสมน้ำตาลกับน้ำและนำไปต้มจนเดือด คนจนส่วนผสมทั้งหมดละลายดี แล้วจึงปิดไฟ
4. นำกะทิและเกลือไปใส่ในหม้อขนาดเล็ก และนำไปตั้งบนไฟอ่อนจนส่วนผสมละลายเข้ากันดี จึงปิดไฟ
5. นำเมล็ดทับทิม ไปใส่ในถ้วยเสริฟ โรยหน้าด้วยเกล็ดน้ำแข็ง ราดด้วยน้ำเชื่อม,น้ำกะทิ, ขนุนฝอยและข้าวโพด (ถ้าต้องการ)
เสริฟทันทีเป็นอาหารว่าง คลายร้อนในวันสบายๆ




ขนมน้ำดอกไม้


เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง                 * แป้งเท้ายายม่อม 1 ช้อนโต๊ะ
* น้ำลอยดอกมะลิ 2 1/2 ถ้วยตวง * น้ำตาลทราย 3/4 ถ้วยตวง
* สีผสมอาหาร (ตามความชอบ)
วิธีทำ
1. ผสมแป้งข้าวเจ้าและแป้งเท้ายายม่อม จากนั้นนำไปร่อนและพักทิ้งไว้
2. นำน้ำลอยดอกมะลิและน้ำตาลทรายไปตั้งในหม้อบนไฟอ่อนๆ คนจนผสมกันทั่วและน้ำตาลละลายดีจึงปิดไฟ ทิ้งไว้ให้เย็น
3. นำน้ำเชื่อมและแป้งผสมกันทีละน้อย คนจนส่วนผสมเข้ากันดี จึงใส่สีผสมอาหารลงไป ควรผสมให้เป็นสีโทนอ่อนจะน่ารับประทานมากกว่าสีเข้ม
4. นำแบบพิมพ์ที่ต้องการไปนึ่งให้ร้อนประมาณ 10 นาที จากนั้นจึงหยอดน้ำแป้งลงในแบบพิมพ์ที่ต้องการ แล้วนำไปนึ่งประมาณ 15
นาทีจนสุก ทิ้งไว้ให้เย็น แคะออกจากแบบ จัดใส่จานเสริฟ




ขนมกลีบลำดวน


เครื่องปรุง + ส่วนผสม

* แป้งสาลี 100 กรัม             * น้ำมันพืช 50 กรัม (หรือเนยขาว)

* น้ำตาลไอซิ่ง 80 กรัม        * สีผสมอาหาร (แล้วแต่ชอบ)

* เทียนอบ

วิธีทำ

1. ผสมแป้งสาลีกับน้ำตาลเข้าด้วยกัน นำไปร่อน 2 ครั้ง เสร็จแล้วใส่น้ำมันพืช (หรือเนยขาว) ลงไปผสม นวดจนส่วนผสมทั้งสามเข้ากันดี
2. ปั้นแป้งเป็นลูกกลมๆขนาดเท่าๆกัน ใช้มีดคมๆแบ่งแป้งเป็น 4 ส่วนเท่าๆกัน

3. จับวางเป็น 3 กลีบ ส่วนอีก 1 กลีบที่เหลือให้ปั้นเป็นลูกกลมๆวางตรงกลางกลีบทั้งสามเป็นเกสร ก็จะได้รูปทรงดอกไม้ ทำเช่นนี้จนแป้งหมด เรียงไว้ในถาด

4. นำแป้งไปอบที่อุณหภูมิประมาณ 300 องศาฟาเรนไฮต์ประมาณ 10 - 15 นาทีหรือจนสุก จะได้ขนมที่มีลักษณะผิวนวล กรอบ นำไปอบควันเทียนให้หอม ก็พร้อมรับประทานได้ทันที

หมายเหตุ : ถ้าต้องการกลีบหรือเกสรที่ต่างสีกัน ก็ให้แยกส่วนผสมแป้งในขั้นตอนที่หนึ่ง แล้วผสมสีตาม ที่ชอบขณะใส่น้ำมันพืชลงไปนวด ควรใช้สีโทนอ่อนจะน่ารับประทานมากกว่าสีเข้ม
ขนมลอดช่อง

+ ส่วนผสมตัวลอดช่อง +
* แป้งข้าวเจ้า 100 กรัม        * แป้งเท้ายายม่อม 30 กรัม
* แป้งซ่าหริ่ม 20 กรัม          * น้ำปูนใส 450 กรัม
* น้ำใบเตย 250 กรัม            * น้ำแข็ง
+ ส่วนผสมน้ำกะทิ +
* น้ำกะทิ 250 กรัม               * น้ำตาลปึก 150 กรัม
* เกลือป่น 1/2 ช้อนชา        * เทียนอบ
+ เพิ่มเติม +
* เผือกนึ่ง, ข้าวเหนียวดำ, ขนุน อื่นๆ
วิธีทำ
1. ทำตัวลอดช่องโดยผสมแป้งข้าวเจ้า, แป้งเท้ายายม่อม, แป้งซ่าหริ่ม เข้าด้วยกัน หลังจากนั้นค่อยๆใส่น้ำ ปูนใสทีละน้อย ขณะเดียวกันก็นวดแป้งให้เข้ากันจนเนียนและเหนียว และค่อยๆใส่น้ำปูนใสจนหมด แล้วจึงใส่น้ำ ใบเตย แล้วนำไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง กวนจนแป้งเนียวและข้นจึงลดไฟลง กวนต่อจนแป้งสุก (แป้งจะมี ลักษณะข้นเหนียว)จึงปิดไฟ
2. เตรียมน้ำเย็นโดย นำน้ำแข็งไปละลายในน้ำจนน้ำเย็นจัด จากนั้นนำส่วนผสมแป้งที่เตรียมไว้ในขั้นตอน ที่หนึ่งไปใส่ลงในพิมพ์ลอดช่อง ค่อยๆกดให้เป็นเส้นหย่อนลงไปในน้ำเย็นที่เตรียมไว้
3. ทำน้ำกะทิโดยนำน้ำตาลปึกผสมกับน้ำกะทิและเกลือป่น นำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ ค่อยๆ คนจนน้ำตาลละลายดี จึงปิดไฟ และนำไปอบควันเทียนให้หอม
4. ตักเส้นลอดช่องใส่ถ้วย ราดด้วยน้ำกะทิ และน้ำแข็งทุบ สามารถใส่เครื่องเพิ่มเติมได้ตามต้องการ (เผือกนึ่ง, ข้าวเหนียวดำ, อื่น) เสริฟได้ทันที
 
กล้วยบวดชี

เครื่องปรุง + ส่วนผสม
* กล้วยน้ำว้า 8 ลูก (เลือกห่ามๆ ไม่สุกมาก)        * หัวกะทิ 450 มิลลิลิตร
* หางกะทิ 500 มิลลิลิตร                                     * ใบเตย 2 ใบ
* น้ำตาลปี๊บ 40 กรัม                                           * น้ำตาลทรายขาว 40 กรัม
* เกลือ
วิธีทำ
1. นำกล้วยไปนึ่งในน้ำเดือดประมาณ 3-5 นาที หรือนึ่งจนกระทั่งผิวกล้วยเริ่มแตกออก จึงปิดไฟและนำออกมาปอกเปลือกและหั่นครึ่งลูก จากนั้นจึงหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ
2. นำหางกะทิไปต้มในหม้อและใส่ใบเตยลงไปด้วย เมื่อเดือดแล้วจึงใส่กล้วยที่หั่นไว้แล้วลงไป ตามด้วยน้ำตาลปี๊บ, น้ำตาลทรายขาวและเกลือนิดหน่อย
3. เมื่อกะทิเริ่มเดือดอีกครั้งจึงใส่หัวกะทิลงไป และปล่อยทิ้งไว้ให้เดือดอีกประมาณ 3 นาที ถ้าต้องการให้น้ำข้นเหนียวก็ให้ใส่แป้งมันลงไปประมาณ 1 ช้อนชาและคนให้ละลายทั่ว
4. อย่าต้มนานจนเกินไปเพราะจะทำให้กล้วยเละ กล้วยควรจะยังแข็งนิดหน่อย จากนั้นตักใส่จานและเสริฟทันที
หม้อแกง

ครื่องปรุง + ส่วนผสม
* ถั่วเขียว 250 กรัม (เผือก, เม็ดบัว, อื่นๆ)            * น้ำเปล่า 4 ถ้วยตวง
* หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง                                             * น้ำตาลปี๊บ 250 กรัม
* เกลือป่น 1/4 ช้อนชา                                          * ไข่เป็ด 3 ฟอง
* หอมแดงซอยละเอียด 3 ลูก                                * ใบเตย 3 ใบ
วิธีทำ
1. นำหอมแดงไปเจียวในน้ำมันจนเหลืองและกรอบ (ระวังไหม้ ควรเจียวด้วยไฟอ่อนๆ )
2. นำถั่วเขียวเลาะเปลือกไปแช่ในน้ำและนำไปนึ่งจนสุก หรือถ้าใช้เผือกก็ปอกเปลือกและนำไปนึ่งจนสุก จากนั้นจึงนำเผือกไปยีให้เป็นชิ้นเล็กๆ
3. ในชามขนาดกลาง, ผสมไข่ น้ำตาลปี๊บและเกลือ แล้วขยำโดยใช้ใบเตยให้เข้ากันดี น้ำตาลละลายหมด จากนั้นจึงใส่หัวกะทิลงไป ขยำต่ออีกจนส่วนผสมเข้ากันดี แล้วจึงนำไปกรองด้วยผ้าขาวบางเพื่อเอาสิ่งสกปรกออก
4. เอาถั่วหรือเผือกใส่ลงไปในส่วนผสมที่กรองแล้ว และใส่น้ำมันที่เหลือจากการเจียวหอมแดง (ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ) คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี
5. นำส่วนผสมที่ได้ไปกวนด้วยไฟร้อนปานกลางในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเทฟลอนก็ได้) กวนจนส่วนผสมเริ่มข้นก็พอ ถ้ากวนมากเมื่อนำไปอบจะ ไม่น่าทานเพราะจะแตกมัน ที่เรานำมากวนก็เพื่อป้องกันไม่ให้ส่วนผสมแยกชั้นเมื่อนำไปอบเนื่องจากไข่กับกะทิ ไม่เข้ากันดี
6. นำส่วนผสมที่กวนแล้วไปอบ โดยใส่ถาดหรือแบบที่ต้องการ ใช้ความร้อน 180 องศาเซลเซียส (360 องศาฟาเรนไฮต์) อบประมาณ 30 - 40 นาที จากนั้นจึงนำหอมเจียวไปโรยหน้าและอบต่ออีกประมาณ 5 นาที
7. ถ้าอบโดยใส่ถาดไว้ เวลาเสริฟก็ตัดแบ่งเป็นชิ้นขนาดตามความเหมาะสม ถ้าอบโดยใส่แบบอื่นๆไว้ ถ้าขนาดแบบไม่ใหญ่มาก อาจเสริฟได้พร้อมแบบทันที
อื่นๆ
ฝายทอง

ลูกชุบ

สลิ่ม